Position:home  

ผักงูเขียว: สมุนไพรไทยที่มีประโยชน์มากมาย

ผักงูเขียวคืออะไร

ผักงูเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyclea barbata L.) เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Menispermaceae มีลำต้นเถาเลื้อย ลำต้นกลม มีขนทั่วทั้งต้น ใบเป็นใบเดี่ยว รูปหัวใจ โคนใบเว้ามีติ่ง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบมีขนปกคลุม ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ ดอกเป็นดอกแยกเพศแยกต้น กลีบดอกสีเหลืองอมเขียว ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยรูปไข่ เมื่อสุกจะมีสีแดง

ผักงูเขียวเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ใน การแพทย์แผนไทย มานานหลายร้อยปี โดยมีการใช้ทั้งลำต้น ใบ และราก เพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ จากการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่าผักงูเขียวมีสารสำคัญหลายชนิดที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา เช่น

  • สารเบอร์เบอรีน (Berberine) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด และต้านการอักเสบ
  • สารปาลมาติน (Palmatine) มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส
  • สารเททราไฮโดรพาลมาติน (Tetrahydropalmatine) มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด และฤทธิ์ลดความดันโลหิต

ประโยชน์ของผักงูเขียว

ผักงูเขียวมีประโยชน์ทางยาหลากหลาย โดยมีการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ดังนี้

ผักงูเขียว

1. โรคเบาหวาน

ผักงูเขียว: สมุนไพรไทยที่มีประโยชน์มากมาย

สารเบอร์เบอรีนในผักงูเขียวมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด โดยออกฤทธิ์คล้ายกับยาเมตฟอร์มิน (Metformin) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานผักงูเขียวสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ

2. โรคความดันโลหิตสูง

สารเททราไฮโดรพาลมาตินในผักงูเขียวมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต โดยออกฤทธิ์คล้ายกับยาแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium channel blocker) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง มีการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานผักงูเขียวสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. โรคหัวใจ

สารเบอร์เบอรีนในผักงูเขียวมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ มีการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานผักงูเขียวสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้

4. โรคตับ

สารเบอร์เบอรีนในผักงูเขียวมีฤทธิ์ปกป้องตับ จากการทำลายของสารพิษต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ และสารพิษจากเชื้อรา มีการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานผักงูเขียวสามารถช่วยลดการอักเสบของตับ และช่วยซ่อมแซมเซล์ตับที่ถูกทำลายได้

5. โรคติดเชื้อ

ผักงูเขียว

สารปาลมาตินในผักงูเขียวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส มีการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานผักงูเขียวสามารถช่วยรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคติดเชื้อผิวหนังได้

การใช้ผักงูเขียว

ผักงูเขียวสามารถใช้ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

  • ยาต้ม นำลำต้น ใบ หรือรากผักงูเขียวมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ผงแห้ง นำลำต้น ใบ หรือรากผักงูเขียวมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง
  • แคปซูล บรรจุผงแห้งของผักงูเขียวลงในแคปซูล
  • สารสกัด นำผักงูเขียวมาสกัดเอาสารสำคัญออกมา

ปริมาณและวิธีใช้

ปริมาณและวิธีใช้ผักงูเขียวที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบการใช้และโรคที่ต้องการรักษา โดยทั่วไปแล้วสามารถใช้ผักงูเขียวได้ดังนี้

  • ยาต้ม ใช้ผักงูเขียวประมาณ 30-60 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มนาน 15-20 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง
  • ผงแห้ง รับประทานครั้งละ 1-2 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง
  • แคปซูล รับประทานครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 2-3 ครั้ง
  • สารสกัด ปริมาณที่ใช้จะแตกต่างกันไปตามความเข้มข้นของสารสกัด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้

ข้อควรระวัง

  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรไม่ควรรับประทานผักงูเขียว
  • ผู้ที่มีโรคตับหรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผักงูเขียว
  • ผักงูเขียวอาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือคลื่นไส้
  • หากรับประทานผักงูเขียวร่วมกับยาอื่นๆ อาจเกิดการดื้อยาหรือเกิดผลข้างเคียงได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้

สารอาหารที่มีอยู่ในผักงูเขียว

ผักงูเขียวอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น

  • เบต้าแคโรทีน
  • วิตามินซี
  • วิตามินอี
  • แคลเซียม
  • ฟอสฟอรัส
  • เหล็ก
  • สังกะสี

สรรพคุณทางยาของผักงูเขียว

ผักงูเขียวมีสรรพคุณทางยาหลากหลาย โดยมีการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ดังนี้

  • ลดน้ำตาลในเลือด
  • ลดความดันโลหิต
  • ลดไขมันในเลือด
  • ต้านการอักเสบ
  • ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • ต้านเชื้อรา
  • ต้านไวรัส
  • ปกป้องตับ
  • ซ่อมแซมเซล์ตับ
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ขับสารพิษ

ขนาดรับประทานของผักงูเขียว

ขนาดรับประทานของผักงูเขียวจะแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายและโรคที่เป็น โดยทั่วไปแล้วสามารถรับประทานได้ดังนี้

  • เพื่อลดน้ำตาลในเลือด 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อลดความดันโลหิต 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อลดไขมันในเลือด 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อต้านการอักเสบ 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรีย 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อต้านเชื้อรา 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อต้านไวรัส 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อปกป้องตับ 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อซ่อมแซมเซล์ตับ 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อขับปัสสาวะ 5-10 กรัมต่อวัน
  • เพื่อขับสารพิษ 5-10 กรัมต่อวัน

คำเตือนในการใช้ผักงูเขียว

  • ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีโรคตับหรือโรคไต
  • คว
Time:2024-09-06 13:29:56 UTC

newthai   

TOP 10
Related Posts
Don't miss