ฟิล์มติดรถยนต์ เปลี่ยนรถธรรมดาให้รถหรูได้ในงบหลักพัน
ฟิล์มติดรถยนต์ ไม่ใช่แค่ช่วยบังแดด แต่ยังช่วยปกป้องคุณจากอันตรายต่างๆ ได้อีกด้วย ฟิล์มติดรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นที่คนรักรถทุกคนควรมีติดรถไว้ ซึ่งฟิล์มติดรถยนต์ในปัจจุบันมีหลากหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มใส ฟิล์มปรอท ฟิล์มดำ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ฟิล์มแต่ละประเภทก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ใช้ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจติดตั้ง
ประโยชน์ของฟิล์มติดรถยนต์
ฟิล์มติดรถยนต์มีประโยชน์มากมาย ได้แก่
-
ป้องกันความร้อนจากแสงแดด: ฟิล์มติดรถยนต์ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดได้ถึง 80% ทำให้ห้องโดยสารเย็นสบายขึ้น ช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
-
ป้องกันรังสี UV: ฟิล์มติดรถยนต์ช่วยป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99% ซึ่งรังสี UV เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งผิวหนังและผิวเหี่ยวย่น
-
ป้องกันความเป็นส่วนตัว: ฟิล์มติดรถยนต์ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้โดยสารภายในรถ ทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นภายในรถ
-
ป้องกันอันตรายจากเศษแก้ว: ในกรณีที่กระจกแตก ฟิล์มติดรถยนต์จะช่วยยึดเศษแก้วไว้ไม่ให้กระจายเข้ามาภายในรถ
-
เพิ่มความสวยงามให้กับรถ: ฟิล์มติดรถยนต์สามารถเพิ่มความสวยงามให้กับรถได้ ทำให้รถดูหรูหรายิ่งขึ้น
ประเภทของฟิล์มติดรถยนต์
ฟิล์มติดรถยนต์มีหลายประเภท ได้แก่
-
ฟิล์มใส: ฟิล์มใสเป็นฟิล์มที่ไม่เปลี่ยนสีกระจก แต่ช่วยป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้ดี
-
ฟิล์มปรอท: ฟิล์มปรอทเป็นฟิล์มที่ช่วยสะท้อนความร้อนและรังสี UV ได้ดีกว่าฟิล์มใส ทำให้ห้องโดยสารเย็นสบายขึ้น แต่ฟิล์มปรอทก็มีข้อเสียคือทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง
-
ฟิล์มดำ: ฟิล์มดำเป็นฟิล์มที่ช่วยป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้ดีที่สุด แต่ฟิล์มดำก็มีข้อเสียคือทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงมากที่สุดเช่นกัน
-
ฟิล์มเซรามิก: ฟิล์มเซรามิกเป็นฟิล์มรุ่นใหม่ที่ช่วยป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้ดีเกือบเท่าฟิล์มดำ แต่ทัศนวิสัยในการมองเห็นดีกว่าฟิล์มดำ
ข้อควรพิจารณาก่อนติดตั้งฟิล์มติดรถยนต์
ก่อนติดตั้งฟิล์มติดรถยนต์ ผู้ใช้ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
-
ประเภทของรถ: รถแต่ละประเภทมีกระจกที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จึงควรเลือกฟิล์มติดรถยนต์ที่เหมาะกับประเภทของรถ
-
งบประมาณ: ฟิล์มติดรถยนต์มีหลายราคาตั้งแต่หลักพันบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาท ผู้ใช้ควรเลือกฟิล์มที่เหมาะกับงบประมาณของตนเอง
-
ความต้องการใช้งาน: ผู้ใช้ควรพิจารณาว่าตนเองต้องการฟิล์มติดรถยนต์เพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น เพื่อป้องกันความร้อน ป้องกันรังสี UV หรือเพิ่มความเป็นส่วนตัว
-
กฎหมาย: ผู้ใช้ควรตรวจสอบกฎหมายเกี่ยวกับการติดฟิล์มติดรถยนต์ในประเทศไทยก่อนติดตั้ง เพื่อไม่ให้ถูกปรับ
ขั้นตอนการติดตั้งฟิล์มติดรถยนต์
การติดตั้งฟิล์มติดรถยนต์ทำได้ดังนี้
-
เตรียมรถ: ล้างรถให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
-
ถอดชิ้นส่วนรถ: ถอดชิ้นส่วนรถที่อาจเป็นอุปสรรคในการติดตั้งฟิล์ม เช่น ที่ปัดน้ำฝน
-
ตัดฟิล์ม: ตัดฟิล์มให้มีขนาดเท่ากับกระจก
-
ทาแชมพูล้างรถ: ทาแชมพูล้างรถลงบนกระจกและฟิล์ม
-
ติดตั้งฟิล์ม: ติดตั้งฟิล์มลงบนกระจกโดยเริ่มจากด้านบนแล้วค่อยไล่ลงมาด้านล่าง
-
รีดฟองอากาศ: รีดฟองอากาศออกจากฟิล์มโดยใช้ไม้รีดฟิล์ม
-
ตัดแต่งฟิล์ม: ตัดแต่งฟิล์มส่วนที่เกินออก
-
ติดตั้งชิ้นส่วนรถ: ติดตั้งชิ้นส่วนรถที่ถอดออกตอนแรกกลับเข้าไป
Tips and Tricks
- เลือกฟิล์มติดรถยนต์ที่ได้มาตรฐานและมีการรับประกันจากผู้ผลิต
- ติดตั้งฟิล์มติดรถยนต์โดยช่างผู้ชำนาญการ
- ทำความสะอาดฟิล์มติดรถยนต์อย่างสม่ำเสมอด้วยแชมพูล้างรถ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงในการทำความสะอาดฟิล์มติดรถยนต์
ตารางสรุปฟิล์มติดรถยนต์
ประเภทฟิล์ม |
ความเข้มข้น (%) |
ราคาโดยประมาณ (บาท) |
ฟิล์มใส |
20-50 |
1,000-5,000 |
ฟิล์มปรอท |
40-60 |
2,000-7,000 |
ฟิล์มดำ |
60-80 |
3,000-9,000 |
ฟิล์มเซรามิก |
40-60 |
5,000-15,000 |
ตารางเปรียบเทียบฟิล์มติดรถยนต์
ประเภทฟิล์ม |
ข้อดี |
ข้อเสีย |
ฟิล์มใส |
ราคาถูกที่สุด |
ไม่สะท้อนความร้อน |
ฟิล์มปรอท |
สะท้อนความร้อนได้ดีกว่าฟิล์มใส |
ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง |
ฟิล์มดำ |
สะท้อนความร้อนได้ดีที่สุด |
ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงมากที่สุด |
ฟิล์มเซรามิก |
สะท้อนความร้อนได้ดีเกือบเท่าฟิล์มดำ |
ทัศนวิสัยในการมองเห็นดีกว่าฟิล์มดำ |
Call to Action
หากคุณกำลังมองหาฟิล์มติดรถยนต์คุณภาพดีราคาประหยัด ติดต่อเราได้เลย เรามีฟิล์มติดรถยนต์หลากหลายประเภทให้คุณเลือก พร้อมบริการติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการ ติดต่อเราเลยวันนี้เพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษ!